วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วัฒนธรรม.. ภาษา ...วัฒนธรรมทางภาษา

        
                                                                                                            
                เมื่อเอ่ยถึง “ภาษา”  หลายคนอาจจะนึกถึงเพียง ภาษาพูด และภาษาเขียน แต่ความหมายของภาษาที่แท้จริงแล้วนั้น ได้ครอบคลุมไปมากกว่านั้น

          พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของภาษาไว้ว่า  ภาษา หมายถึง ถ้อยคำที่ใช้พูดหรือเขียนเพื่อสื่อความของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น ภาษาไทย ภาษาจีน หรือเพื่อสื่อความเฉพาะวงการ เช่น ภาษาราชการ ภาษากฎหมาย ภาษาธรรม; เสียง ตัวหนังสือ หรือกิริยาอาการที่สื่อความได้ เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน ภาษาท่าทาง ภาษามือ

          จะเห็นได้ว่า นอกจากภาษาจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสาร ความคิด อารมณ์ และความต้องการของมนุษย์  ภาษาจะต้องมีกฎเกณฑ์เป็นระบบไวยากรณ์ของแต่ละภาษา

นักมานุษยวิทยาและนักภาษาศาสตร์เชิงสังคมหลายคน เช่น เจ.อาร์.เฟิร์ท(Firth) วอร์ด กูดอีนัฟ(Goodenough) เดลล์ ไฮมส์(Hymes) และวิลเลียม ลาบอฟ(Labov) ได้ให้ความหมายของภาษาที่สอดคล้องกันว่า ภาษาคือรูปแบบของพฤติกรรมทางวัฒนธรรมซึ่งไม่อาจจะศึกษาเป็นเอกเทศโดยไม่คำนึงถึงบริบททางสังคมได้  ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่า “ภาษามีความสัมพันธ์กันกับระบบทางวัฒนธรรมและสังคมของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก”

ภาษาและวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด  เนื่องจากภาษาเป็นสิ่งสะท้อนความคิดและวัฒนธรรมของมนุษย์ ดังนั้น ภาษาและวัฒนธรรมจึงต่างมีอิทธิพลต่อกันและกัน การที่ผู้พูดต่างภาษาต่างวัฒนธรรมเรียกชื่อหรือมีความคิดเห็นในสิ่งเดียวกันแตกต่างกันหรือจำแนกประเภทของสิ่งต่างๆในธรรมชาติแตกต่างกันไป นั่นเป็นเพราะคนแต่ละสังคมและวัฒนธรรมมีความจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆในธรรมชาติเหล่านั้นแตกต่างกันไป จึงได้กำหนดระบบภาษาในแบบของตนเองขึ้นมา เพื่อสนองความต้องการในการสื่อสารและการดำเนินชีวิตในรูปแบบของสังคมของคน

          ภาษาไทยเราถือว่า เป็นภาษาที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมอย่างชัดเจน

วัฒนธรรมทางภาษา ของภาษาไทยนั้น จะเห็นได้อย่างชัดเจนขึ้น จากการที่ภาษาไทยได้จำแนกระดับทางภาษา ไว้ 3 ระดับ เพื่อใช้ในเหตุการณ์หรือลักษณะการสนทนาที่แตกต่างกัน ดังนี้
          1. ภาษาปาก (vulgate) คือ ภาษาที่ใช้พูดเพื่อความเข้าใจในหมู่คณะที่มีความใกล้ชิดสนิทสนามกัน ถ้อยคำที่ใช้ไม่ต้องระมัดระวังหรือพิถีพิถันมากนัก เช่น การพูดคุยกับเพื่อน การซื้อขายของตามตลาด
          2. ภาษากึ่งแบบแผน(information) คือ ภาษาที่ใช้พูดหรือเขียนทั่วไป แต่มีความสุภาพรัดกุมมากกว่าภาษาปาก เช่น การสนทนากับผู้ที่มีตำแหน่งหรือวุฒิภาวะที่สูงกว่า การอภิปราย การแนะนำตัว เป็นต้น
          3. ภาษาแบบแผน (formal) คือ ภาษาที่ใช้อย่างเป็นพิธีการ เรียบเรียงด้วยความประณีต ส่วนมากใช้ในการเขียนมากกว่าการพูด เช่น ภาษาในแบบเรียน หนังสือราชการ  การเปิดประชุม เป็นต้น

ทั้งนี้ยังจะเห็นได้ว่า  การใช้ภาษาไทยของเรามีลักษณะที่ตรงตามระเบียบของสังคม 3 ประการ คือ
          1. มีจารีตประเพณีในการใช้ภาษา คือ มีระเบียบแบบแผนที่แน่นอนว่า อะไรผิดอะไรถูก ถ้าหากใช้ผิดก็จะทำให้อ่านผิด ฟังผิด พูดผิดและเขียนผิด จนไม่อาจสื่อความหมายกันได้
          2. มีขนบประเพณีในการใช้ภาษา ได้แก่ ภาษาพูดกับภาษาเขียนซึ่งมีการใช้ไม่เหมือนกัน ภาษาในถิ่นต่างๆ ตลอดจนภาษาของชนกลุ่มอาชีพต่างๆ เช่น ภาษาชาวเรือ ภาษาชาวเขา ภาษานักกฎหมาย เป็นต้น
          3. มีธรรมเนียมประเพณีในการใช้ภาษา คือ ระเบียบแบบแผนของภาษาที่สังคมกำหนดไว้นั้น ถ้าไม่ใช้ตามก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดถูก ชั่ว ดี หรือไม่ถึงกับทำให้การสื่อสารนั้นเสียหายไปแต่อย่างใด แต่ก็ถือว่าไม่มีกิริยามารยาท ขาดลักษณะของสมาชิกที่ดีในสังคม เป็นเหตุให้สังคมรังเกียจได้

          ระเบียบของสังคมดังกล่าว ได้มีอิทธิพลต่อการใช้ภาษาของคนไทยเป็นอย่างมาก นอกจากการใช้ภาษาตามระดับทางภาษาแล้ว การใช้คำก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง เช่น คำต้องห้ามและคำเลี่ยง

          โดยทั่วไปคำต้องห้ามและคำเลี่ยงเป็นคำพูดที่ถือว่าไม่สุภาพ ไม่ควรกล่าวในที่สาธารณะ คำต้องห้ามบางประเภทมีลักษณะเป็นสากล สำหรับคำต้องห้ามในภาษาไทยนั้นได้แก่ คำเกี่ยวกับอวัยวะที่ปกปิด กิจกรรมทางเพศ การขับถ่าย คำเกี่ยวกับความเชื่อทางไสยศาสตร์ คำหยาบ คำด่า ไม่เว้นแม้แต่คำราชาศัพท์ซึ่งเป็นคำต้องห้ามสำหรับสามัญชนทั่วไป ส่วนคำเลี่ยงนั้นคือคำหรือถ้อยคำที่นำมาใช้แทนคำต้องห้าม เพื่อช่วยให้สามารถพูดหรือกล่าวถึงสิ่งที่ไม่พึงปรารถนานั้นได้ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อจำเป็นต้องพูดถึงความตาย  ก็อาจใช้คำเลี่ยงว่า สิ้นบุญ หรือเสียชีวิตแทน

          จะเห็นได้ว่าภาษาและวัฒนธรรมนั้นแยกออกจากกันไม่ได้ เพราะภาษาเป็นวัฒนธรรม และภาษายังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ประเทศชาติมั่นคงเป็นปึกแผ่น อีกประการหนึ่ง ภาษายังเป็นเครื่องมือวัดความเจริญก้าวหน้าชาตินั้นๆ ว่ามีวัฒนธรรมสูงส่งเพียงไร สังเกตเห็นได้จาก การที่คนป่าเถื่อนหรือไม่ได้รับการอบรมมาก่อน เวลาพูดก็จะไม่น่าฟัง เช่น ใช้ภาษากักขฬะ ในขณะที่คนที่ใช้ภาษาได้เป็นอย่างดี ก็จะเรียนรู้วัฒนธรรมที่ดีงามไปพร้อมๆกัน ทำให้การแสดงออกต่างๆนั้น ถูกต้องตามกาลเทศะและบุคคล

ในปัจจุบัน ด้วยกระแสทางวัฒนธรรมและภาษาของต่างประเทศที่ถาโถมเข้ามา ทำให้วัฒนธรรมทางภาษาของไทยได้สั่นคลอนตามไปด้วย ภาษาที่สื่อถึงวัฒนธรรมที่ดีงามของคนไทยซึ่งได้สืบทอดมายาวนานกว่า 700ปี กำลังเสื่อมถอย ผกผันกับความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ การใช้ภาษาในปัจจุบันที่ไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสม มีการใช้คำที่ผิดความหมาย รวมไปถึงการนำคำต้องห้ามมาใช้กันอย่างถ้วนทั่ว  สิ่งต่างๆเหล่านี้ได้กำลังสะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่าง ที่กำลังจะเกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้นแล้วกับวัฒนธรรมทางภาษา  การใช้ภาษาให้ถูกต้อง เหมาะสมกับกาลเทศะ และบุคคล จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สื่อถึงวัฒนธรรมที่ดีงามของไทย ที่ถ่ายทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน ผ่านวัฒนธรรมทางภาษา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น