เมื่อเอ่ยถึง
“ภาษา” หลายคนอาจจะนึกถึงเพียง ภาษาพูด
และภาษาเขียน แต่ความหมายของภาษาที่แท้จริงแล้วนั้น ได้ครอบคลุมไปมากกว่านั้น
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
ได้ให้ความหมายของภาษาไว้ว่า ภาษา หมายถึง
ถ้อยคำที่ใช้พูดหรือเขียนเพื่อสื่อความของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น ภาษาไทย
ภาษาจีน หรือเพื่อสื่อความเฉพาะวงการ เช่น ภาษาราชการ ภาษากฎหมาย ภาษาธรรม; เสียง ตัวหนังสือ หรือกิริยาอาการที่สื่อความได้ เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน
ภาษาท่าทาง ภาษามือ
จะเห็นได้ว่า นอกจากภาษาจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสาร
ความคิด อารมณ์ และความต้องการของมนุษย์
ภาษาจะต้องมีกฎเกณฑ์เป็นระบบไวยากรณ์ของแต่ละภาษา
นักมานุษยวิทยาและนักภาษาศาสตร์เชิงสังคมหลายคน
เช่น เจ.อาร์.เฟิร์ท(Firth) วอร์ด กูดอีนัฟ(Goodenough) เดลล์ ไฮมส์(Hymes) และวิลเลียม ลาบอฟ(Labov)
ได้ให้ความหมายของภาษาที่สอดคล้องกันว่า
ภาษาคือรูปแบบของพฤติกรรมทางวัฒนธรรมซึ่งไม่อาจจะศึกษาเป็นเอกเทศโดยไม่คำนึงถึงบริบททางสังคมได้ ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่า
“ภาษามีความสัมพันธ์กันกับระบบทางวัฒนธรรมและสังคมของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก”
ภาษาและวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
เนื่องจากภาษาเป็นสิ่งสะท้อนความคิดและวัฒนธรรมของมนุษย์
ดังนั้น ภาษาและวัฒนธรรมจึงต่างมีอิทธิพลต่อกันและกัน
การที่ผู้พูดต่างภาษาต่างวัฒนธรรมเรียกชื่อหรือมีความคิดเห็นในสิ่งเดียวกันแตกต่างกันหรือจำแนกประเภทของสิ่งต่างๆในธรรมชาติแตกต่างกันไป
นั่นเป็นเพราะคนแต่ละสังคมและวัฒนธรรมมีความจำเป็นต้องใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆในธรรมชาติเหล่านั้นแตกต่างกันไป
จึงได้กำหนดระบบภาษาในแบบของตนเองขึ้นมา
เพื่อสนองความต้องการในการสื่อสารและการดำเนินชีวิตในรูปแบบของสังคมของคน
ภาษาไทยเราถือว่า เป็นภาษาที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมอย่างชัดเจน
วัฒนธรรมทางภาษา
ของภาษาไทยนั้น จะเห็นได้อย่างชัดเจนขึ้น จากการที่ภาษาไทยได้จำแนกระดับทางภาษา
ไว้
3 ระดับ เพื่อใช้ในเหตุการณ์หรือลักษณะการสนทนาที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. ภาษาปาก (vulgate) คือ
ภาษาที่ใช้พูดเพื่อความเข้าใจในหมู่คณะที่มีความใกล้ชิดสนิทสนามกัน
ถ้อยคำที่ใช้ไม่ต้องระมัดระวังหรือพิถีพิถันมากนัก เช่น การพูดคุยกับเพื่อน
การซื้อขายของตามตลาด
2. ภาษากึ่งแบบแผน(information) คือ
ภาษาที่ใช้พูดหรือเขียนทั่วไป แต่มีความสุภาพรัดกุมมากกว่าภาษาปาก เช่น
การสนทนากับผู้ที่มีตำแหน่งหรือวุฒิภาวะที่สูงกว่า การอภิปราย การแนะนำตัว เป็นต้น
3. ภาษาแบบแผน (formal) คือ ภาษาที่ใช้อย่างเป็นพิธีการ
เรียบเรียงด้วยความประณีต ส่วนมากใช้ในการเขียนมากกว่าการพูด เช่น ภาษาในแบบเรียน
หนังสือราชการ การเปิดประชุม เป็นต้น
ทั้งนี้ยังจะเห็นได้ว่า
การใช้ภาษาไทยของเรามีลักษณะที่ตรงตามระเบียบของสังคม
3
ประการ คือ
1.
มีจารีตประเพณีในการใช้ภาษา คือ มีระเบียบแบบแผนที่แน่นอนว่า อะไรผิดอะไรถูก
ถ้าหากใช้ผิดก็จะทำให้อ่านผิด ฟังผิด พูดผิดและเขียนผิด
จนไม่อาจสื่อความหมายกันได้
2. มีขนบประเพณีในการใช้ภาษา
ได้แก่ ภาษาพูดกับภาษาเขียนซึ่งมีการใช้ไม่เหมือนกัน ภาษาในถิ่นต่างๆ
ตลอดจนภาษาของชนกลุ่มอาชีพต่างๆ เช่น ภาษาชาวเรือ ภาษาชาวเขา ภาษานักกฎหมาย
เป็นต้น
3.
มีธรรมเนียมประเพณีในการใช้ภาษา คือ ระเบียบแบบแผนของภาษาที่สังคมกำหนดไว้นั้น ถ้าไม่ใช้ตามก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดถูก
ชั่ว ดี หรือไม่ถึงกับทำให้การสื่อสารนั้นเสียหายไปแต่อย่างใด
แต่ก็ถือว่าไม่มีกิริยามารยาท ขาดลักษณะของสมาชิกที่ดีในสังคม
เป็นเหตุให้สังคมรังเกียจได้
ระเบียบของสังคมดังกล่าว
ได้มีอิทธิพลต่อการใช้ภาษาของคนไทยเป็นอย่างมาก นอกจากการใช้ภาษาตามระดับทางภาษาแล้ว
การใช้คำก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึง เช่น คำต้องห้ามและคำเลี่ยง
โดยทั่วไปคำต้องห้ามและคำเลี่ยงเป็นคำพูดที่ถือว่าไม่สุภาพ
ไม่ควรกล่าวในที่สาธารณะ คำต้องห้ามบางประเภทมีลักษณะเป็นสากล
สำหรับคำต้องห้ามในภาษาไทยนั้นได้แก่ คำเกี่ยวกับอวัยวะที่ปกปิด กิจกรรมทางเพศ
การขับถ่าย คำเกี่ยวกับความเชื่อทางไสยศาสตร์ คำหยาบ คำด่า
ไม่เว้นแม้แต่คำราชาศัพท์ซึ่งเป็นคำต้องห้ามสำหรับสามัญชนทั่วไป ส่วนคำเลี่ยงนั้นคือคำหรือถ้อยคำที่นำมาใช้แทนคำต้องห้าม
เพื่อช่วยให้สามารถพูดหรือกล่าวถึงสิ่งที่ไม่พึงปรารถนานั้นได้ ยกตัวอย่างเช่น
เมื่อจำเป็นต้องพูดถึงความตาย
ก็อาจใช้คำเลี่ยงว่า สิ้นบุญ หรือเสียชีวิตแทน
จะเห็นได้ว่าภาษาและวัฒนธรรมนั้นแยกออกจากกันไม่ได้
เพราะภาษาเป็นวัฒนธรรม และภาษายังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ประเทศชาติมั่นคงเป็นปึกแผ่น อีกประการหนึ่ง ภาษายังเป็นเครื่องมือวัดความเจริญก้าวหน้าชาตินั้นๆ
ว่ามีวัฒนธรรมสูงส่งเพียงไร สังเกตเห็นได้จาก
การที่คนป่าเถื่อนหรือไม่ได้รับการอบรมมาก่อน เวลาพูดก็จะไม่น่าฟัง เช่น
ใช้ภาษากักขฬะ ในขณะที่คนที่ใช้ภาษาได้เป็นอย่างดี
ก็จะเรียนรู้วัฒนธรรมที่ดีงามไปพร้อมๆกัน ทำให้การแสดงออกต่างๆนั้น
ถูกต้องตามกาลเทศะและบุคคล
ในปัจจุบัน ด้วยกระแสทางวัฒนธรรมและภาษาของต่างประเทศที่ถาโถมเข้ามา
ทำให้วัฒนธรรมทางภาษาของไทยได้สั่นคลอนตามไปด้วย
ภาษาที่สื่อถึงวัฒนธรรมที่ดีงามของคนไทยซึ่งได้สืบทอดมายาวนานกว่า 700ปี กำลังเสื่อมถอย ผกผันกับความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการ การใช้ภาษาในปัจจุบันที่ไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสม
มีการใช้คำที่ผิดความหมาย รวมไปถึงการนำคำต้องห้ามมาใช้กันอย่างถ้วนทั่ว สิ่งต่างๆเหล่านี้ได้กำลังสะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่าง
ที่กำลังจะเกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้นแล้วกับวัฒนธรรมทางภาษา การใช้ภาษาให้ถูกต้อง เหมาะสมกับกาลเทศะ
และบุคคล จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สื่อถึงวัฒนธรรมที่ดีงามของไทย ที่ถ่ายทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน
ผ่านวัฒนธรรมทางภาษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น