ต่อเนื่องจากการ...พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการเขียนสื่อความสำหรับนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
มากำหนด วัตถุประสงค์ พันธกิจ วิสัยทัศน์ ฯลฯ
เพื่อให้หลักสูตรฝึกอบรม สามารถนำไปพัฒนาเป็นหลักสูตรที่ใช้ได้จริง .......
ความเป็นมาและแนวคิด
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
มาตรา 10 บัญญัติไว้ว่า
การจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลที่มีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ
โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย
จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ
หรือทุพพลภาพ หรือบุคคลที่ไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแล หรือด้อยโอกาส
ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ
การศึกษาสำหรับคนพิการวรรคสองให้จัดตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการไม่เสียค่าใช้จ่ายและให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก
สื่อบริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา
ตามหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดในกฎกระทรวง
การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลซึ่งความสามารถพิเศษต้องจัดด้วยรูปแบบที่เหมาะสมโดยคำนึงความสามารถของบุคคลนั้น
การศึกษาสำหรับคนพิการในวรรคสองเป็นการกำหนดให้รัฐจะต้องจัดการศึกษาเป็นพิเศษ
รัฐจะต้องจัดสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ
และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายให้แก่คนพิการดังกล่าว
การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้
และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ
การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาดำเนินการเรื่องเนื้อหาสาระ
และกิจกรรมทักษะและกระบวนการศึกษาการฝึกปฏิบัติและได้เรียนรู้จากประสบการณ์
ปลุกฝังคุณธรรม และค่านิยมที่ดีงาม
บรรยากาศสภาพแวดล้อมและสื่อการเรียนรู้จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นในทุกเวลา
การจัดทำหลักสูตรต้องมีความหลากหลาย และมีความเหมาะสมกับวัยและศักยภาพ
การจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรทางการศึกษาอื่นเป็นพิเศษ แต่ละกลุ่มตมมาตรา 10
วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่
โดยคำนึงถึงความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษาและความเป็นธรรมทั้งนี้ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
และวิธีการกำหนดในกฎกระทรวง
สรุปได้ว่าพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ.2542 ได้กำหนดการศึกษาต้องให้บุคคลมีสิทธิ์ และโอกาสเสมอภาคกันในการระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สำหรับคนพิการเป็นการกำหนดให้รัฐจะต้องจัดการศึกษาเป็นพิเศษ
รัฐจะต้องจัดสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ
และความช่วยเหลืออื่นๆใดทางการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายยึดหลักว่านักเรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
กระบวนดารจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ
และเต็มศักยภาพ
การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาดำเนินเรื่องเนื้อหาสาระและกิจกรรมทักษะและกระบวนการศึกษา
การฝึกปฏิบัติและได้เรียนรู้จากประสบการณ์ ปลูกฝังค่านิยมที่ดีงามบรรยากาศ
สภาพแวดล้อมและสื่อการเรียนจัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา
การจัดทำหลักสูตรจะต้องมีความหลากหลาย
และมีความเหมาะสมของแต่ละระดับหรือแต่ละประเภท
โดยมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมแก่วัยและศักยภาพทั้งการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรทางการศึกษาด้วย
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตจัดอยู่ในกลุ่มมหาวิทยาลัยที่เน้นการผลิตบัณฑิตและพัฒนาสังคม
จัดการเรียนการสอนและภารกิจอื่นทั้งในมหาวิทยาลัย
และศูนย์การศึกษานอกมหาวิทยาลัยที่กระจายอยู่ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ
ทุกภูมิภาคของประเทศ โดยมีอัตลักษณ์
ทั้งหมด 4 ด้าน คือ
1. ด้านการศึกษาปฐมวัย
2. ด้านอุตสาหกรรมอาหาร
3. ด้านอุตสาหกรรมบริการ
4. พยาบาลศาสตร์
2. ด้านอุตสาหกรรมอาหาร
3. ด้านอุตสาหกรรมบริการ
4. พยาบาลศาสตร์
และมีเป้าประสงค์ คือที่สำคัญคือ
การที่ประชาชนได้รับโอกาสทางการศึกษาตลอดชีวิตตามศักยภาพ
และนำมากำหนดเป็นประเด็นยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัย คือการให้บริการวิชาการเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ซึ่งมีกลยุทธ์ คือการบริการวิชาการเพื่อสร้างโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ซึ่งจะเห็นได้ว่า การจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัย ได้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษา คือส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ซึ่งจะเห็นได้ว่า การจัดการศึกษาของมหาวิทยาลัย ได้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษา คือส่งเสริมโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
ได้มีหน่วยงานที่ดูแลนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น บกพร่องทางการได้ยิน
บกพร่องทางการเรียนรู้ คือ ฝ่ายสนับสนุนนักศึกษาพิการเรียนร่วม (Disability
Support Services หรือ DSS) หลักสูตรการศึกษาพิเศษ
คณะครุศาสตร์
ดิฉันได้มีโอกาสสอนนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
และพบว่า นักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน มีทักษะการเขียนที่ไม่ดีนัก
เนื่องจาก ไม่ได้ยิน สอดคล้องกับงานวิจัยของ ลักเนอร์ (Luckner,1996,PP.1
อ้างอิงใน จำรัส จินดาวงศ์,2545 หน้า12)
ได้ศึกษาการประเมินภาษาเขียนและการช่วยเหลือแรกเริ่มของเด็กหูหนวกและเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
สรุปได้ว่า
ภาษาเขียนของเด็กหูหนวกเป็นขบวนการที่ซับซ้อนการเขียนจะมีผลสำเร็จได้จะต้องมีการจัดสภาพแวดล้อมที่ดี
การแนะนำที่ถูกต้องแลกลวิธีต่างๆ
จุดประสงค์การใช้ภาษาเขียนหลักสูตรพื้นฐานเพื่อการพัฒนาและการประเมินการเขียนมีหลายรูปแบบหลายมุมมองที่แยกแยะในเรื่องการเรียนการสอนของเด็กหูหนวก
จากปัญหาการเขียนดังกล่าว
ทำให้นักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ไม่สามารถที่จะเขียนสื่อความได้
ผู้ที่รับสารก็ไม่เข้าใจ และไม่สามารถสื่อสารกับนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยินได้
การเขียนสื่อความ
หมายถึง การแสดงความรู้ ความคิด ประสบการณ์ต่างๆ
ออกมาในรูปแบบของตัวอักษรหรือสัญลักษณ์
เพื่อต้องการสื่อให้ผู้รับสารเข้าใจในสารที่ผู้ส่งสารส่งไป
การเขียนสื่อความมีความสำคัญทั้งต่อการเรียน
การใช้ชีวิต การทำงาน และด้านต่างๆ เนื่องจากเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดความคิด
ความรู้สึก ความต้องการ ไปยังบุคคลต่างๆ อีกทั้งยังเป็นบันทึกทางสังคม
บันทึกเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น เพื่อถ่ายทอดไปยังคนในรุ่นต่อไปได้
การพัฒนาทักษะดังกล่าว
จำเป็นต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นดิฉันจึงคิดจะทำการ พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการเขียนสื่อความสำหรับนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
เพื่อช่วยพัฒนาทักษะการเขียนสื่อความของนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
ให้มีทักษะทางการเขียนสื่อความที่ดีขึ้น
วิสัยทัศน์
หลักสูตรฝึกอบรมการเขียนสื่อความสำหรับนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
มุ่งพัฒนาผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
ให้สามารถเรียนรู้ร่วมกับผู้อื่นได้ มีความรู้ความสามารถในการเขียนสื่อความ
เพื่อสื่อสารกับคนปกติได้
โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินสามารถเรียนรู้
พัฒนาตนเองและมีชีวิตอยู่ในสังคมได้เฉกเช่นคนปกติ
หลักการ
1.
เป็นหลักสูตรที่เน้นความเสมอภาค
เท่าเทียมกันของคนในสังคม
2.
เป็นหลักสูตรที่ส่งเสริมการให้โอกาสทางการศึกษา
3.
เป็นหลักสูตรที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
4.
เป็นหลักสูตรที่จัดขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยินสามารถใช้ภาษาในการสื่อความในชีวิตประจำวันได้
จุดหมาย
1.
ผู้เรียนมีความรู้
ความสามารถในการสื่อสารความคิด ผ่านการเขียนสื่อความ
2.
ผู้เรียนมีโอกาสทางการศึกษาเพิ่มขึ้น
3.
ผู้เรียนมีความสามารถในการรู้จักข้อมูลและเข้าใจสื่อ
วัตถุประสงค์
1.เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนสื่อความเบื้องต้นสำหรับนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
2.เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนสื่อความระดับกลางสำหรับนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
3.เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนสื่อความระดับสูงสำหรับนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
คุณสมบัติของผู้เรียน
1.
นักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
2.
กำลังศึกษาอยู่ ณ
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
โครงสร้างของหลักสูตร
เพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นไปตามหลักการ
จุดหมาย หลักสูตรฝึกอบรมการเขียนสื่อความสำหรับนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
จึงกำหนดโครงสร้างเนื้อหา ดังนี้
การเขียนสื่อความเบื้องต้น
|
การเขียนสื่อความระดับกลาง
|
การเขียนสื่อความระดับสูง
|
1.ชนิดของคำไทย
2.การสร้างคำไทย
3.คำต่างประเทศในภาษาไทย
4.ชนิดของประโยค
5.ประโยคแสดงเจตนา
|
1.หลักการเขียนอธิบาย บรรยาย
2.หลักการเขียนย่อความ
3.หลักการเขียนสรุปความ
4.หลักการเขียนแสดงความคิดเห็น (วิจารณ์)
|
1.การเขียนจดหมาย , จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ,จดหมายสมัครงาน
2.การเขียนเรียงความ
3.การเขียนรายงาน
4.การเขียนนำเสนองาน
5.การเขียนประกาศ , โฆษณา
6.การเขียนแนะนำตัว ,ประวัติส่วนตัว
7.การเขียนจดหมายราชการ
8.การเขียนบทความ
9.การเขียนเรื่องสั้น
|
กิจกรรมการฝึกอบรม
1.การบรรยาย
2.การฝึกปฏิบัติ
3.การฝึกทำกิจกรรมเดี่ยว
– กลุ่ม
สื่อการฝึกอบรม
1.เอกสารประกอบการฝึกอบรม
เรื่องการเขียนสื่อความ ระดับต้น กลาง สูง
2.สื่อมัลติมีเดีย เช่น
พาวเวอร์พอยท์ you-tube
เวลาเรียน
หลักสูตรฝึกอบรมการเขียนสื่อความ
สำหรับนักศึกษาที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
กำหนดระยะเวลาในการเรียนรู้ ดังนี้
1)การเขียนสื่อความเบื้องต้น
45 ชั่วโมง
2)การเขียนสื่อความระดับกลาง
45 ชั่วโมง
3)การเขียนสื่อความระดับสูง
45 ชั่วโมง
การจัดกระบวนการเรียนรู้
1.เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยใช้กิจกรรมการเล่นที่เกิดความสุข ความสนุกสนาน
2.ใช้วิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น การสื่อสารด้วยท่าทาง
การฝึกปฏิบัติ การสาธิต ฯลฯ
3.บูรณาการการเรียนรู้เนื้อหา หลักภาษา กับการเรียนรู้ที่จำเป็นตามสถานการณ์จริง
และการสื่อสารด้วยการเขียนสื่อความ
การวัดและการประเมินผล
การวัดและประเมินผลตามสภาพจริงด้วยวิธีการที่หลากหลาย
และอิงการพัฒนาการการเรียนรู้ของผู้เรียน
ดังนี้
1.
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากพฤติกรรมการเรียนรู้
การเข้าร่วมกิจกรรม และความสามารถในการเขียนสื่อความ โดยการสังเกต ทั้งก่อนเรียน
ระหว่างเรียน และหลังเรียน
2.
ประเมินความพึงพอใจของผู้เรียน
และบุคคลรอบข้างหลังเรียนจบหลักสูตร เช่น
ครอบครัว ชุมชน
เกณฑ์การจบหลักสูตร
1. ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 70
ของเวลาเรียนทั้งหมด
2. ต้องผ่านเกณฑ์การประเมินต่าง
ๆ ครบตามที่หลักสูตรกำหนด
นิยามศัพท์การเขียนสื่อความ
การเขียนสื่อความ หมายถึง
การถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความต้องการ ผ่านตัวอักษร โดยใช้ภาษาที่สละสลวย ถูกต้อง
เหมาะสม กับกาลเทศะ และสถานการณ์ต่างๆ
การใช้หลักสูตร
1.ใช้เวลาเรียนไม่ต่ำกว่า
45 ชั่วโมง
2. มีเวลาเรียนสัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง
3.ผู้เรียนต้องผ่านการทดสอบความสามารถทางการเขียนสื่อความ
เพื่อจัดระดับเข้าเรียน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น